ในประเทศไทยพึ่งมีการประกาศผล มิชลิน ไกด์ 2018 มาเมื่อไม่นานมานี้ ยิ่งทำให้ผมตื่นเต้นและอยากรู้ว่า ประสบการณ์การทานอาหารในร้านที่ได้รับการคัดเลือกจาก มิชลินเป็นเช่นไร
บังเอิญที่ Sri panwa ยกทีม เชฟมิชลินสตาร์ Chef Stefano Baiocco และทีมงานเซอร์วิสจากโรงแรม Grand Hotel a Villa Feltrinelli ซึ่งเป็นโรงแรมที่คุณปลาวาฬเคยฝึกงาน บินตรงยกครัวยกทีมจากมิลานมาร่วมรังสรรค์เมนูสุดพิเศษที่ศรีพันวาตลอด 2 สัปดาห์ ในช่วงวันที่ 8-20 ธันวาคม โอกาสดีๆแบบนี้ผมจะพลาดได้ยังไง
ความน่าตื่นเต้นของผมคือ นี่คือประสบการณ์ทานอาหารร้านมิชลินครั้งแรก ผมเลยชวนเพื่อนผม แจ๊ค 4actory ซึ่งมีประสบการณ์ทำงานร้านอาหาร Robuchon Bangkok ซึ่งพึ่งได้รับดาวมิชลินมาหมาดๆเช่นกัน มาช่วยแนะนำอาหารและคอยสังเกตุว่าการบริการระดับมิชลินสตาร์เป็นเช่นไร ตื่นเต้นไหมล่ะครับ ติดตามอ่านกันได้เลย ขอเกริ่นก่อนนะครับว่านี่คือประสบการณ์ครั้งแรกของผม หากข้อมูลไม่ถูกต้องหรือคลาดเคลื่อน ขอ อภัยด้วยนะครับผม
เรามาถึงศรีพันวาช่วงเวลาประมาณหกโมงครึ่ง ห้องอาหารที่ผมได้ทำการจองไว้คือ BABA SOUL FOOD ซึ่งปกติเป็นห้องอาหารไทย ตั้งอยู่ใต้ศาลาที่เป็นจุด Check-in เดินลงบันไดก็ถึงห้องอาหารแล้วครับ
เข้ามานั่งได้สักพักก็มีพนังงานชาวต่างชาติเข้ามาทักทาย พร้อมอธิบายถึงเรื่องราวเกี่ยวกับ Event พิเศษในครั้งนี้
ขณะที่ผมกำลังฟัง สายตาผมเหลือบไปมองรอบๆ วันนี้ทุกคนทำงานกันดูเนี๊ยบมากๆ การยืนการมือ กิริยาต่างๆดูเป๊ะกว่าเดิม แถมทีมงานเกินครึ่งเป็นชาวต่างชาติซะด้วย
สำหรับการทานอาหารในครั้งนี้เป็นแบบ À la carte ซึ่งทำให้เราเลือกเมนูต่างๆเองได้ ปกติแล้วโดยทั่วไปเรามักจะต้องสั่งเป็น SET ตามที่ทางร้านวางไว้ซึ่งโดยทั่วไปราคาจะอยู่ที่ 6,000 - 10,000 บาท แต่สำหรับ Event ครั้งนี้เราสามารถเลือกเองได้เลือกเองได้เลย พนักงานที่ทำหน้าที่อธิบายเมนูต่างๆได้ละเอียดมาก น่าทานไปหมด ผมกับเพื่อนเลยตกลงกันว่าจะสั่งเมนูไม่ซ้ำกัน จะได้แอบลองหลายๆอย่าง
นี่คือโฉมหน้าของเชฟสเตฟาโน ไบอ็อกโค เป็นหัวหน้าเชฟที่ Villa Feltrinelli, Gargnano, Lake Garda ประเทศอิตาลีมีประสบการณ์การทำอาหารมาแล้วรอบโลกตั้งแต่ปี 2001 โดยสไตล์การทำอาหารของเชฟ สเตฟาโน เน้นความเรียบง่ายแต่ใส่ใจในรายละเอียดเรื่องคุณภาพ ไม่ว่าจะเป็นสลัดที่ใช้ทั้งสมุนไพรและดอกไม้ หรืออาหารจานเนื้อรสเลิศ เชฟสเตฟาโนและร้านอาหารของเขาได้รับดาวมิชิลลิน 2 ดาว
มาถึงเรื่องของเครื่องดื่มกันบ้าง บริกรสุภาพสตรีเข้ามาทักทายด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม และแนะนำเมนูเครื่องดื่ม aperitif ( เครื่องดื่มเรียกน้ำย่อย )
แจ๊คเลือกสั่ง Mango Spumante ซึ่งก็คือน้ำมะม่วงผสมกับสปาร์คลิ้งไวน์ของอิตาลี โดยเชฟบอกว่าเลือกใช้มะม่วงไทย เพราะรสชาติหอมอร่อยดีกว่ามะม่วงต่างประเทศซะอีก
ส่วนผมเลือกสปาร์คลิ้งไวน์
หลังจากนั้นไม่นานก็มี อาหารเรียกน้ำย่อยมาวางตรงหน้า ( Amuse Bouche )
เริ่มผมขอลองทาน Cherry Tomato Candy กัดแล้วด้านในจะมีน้ำกัซปาโชกระจายอยู่ในปาก อร่อยเย็น สดชื่น
ข้างซ้ายลูกกลม เป็นฮาเซลนัทผสมกับพาเมซานชีสและมีครีมตรงกลาง และลูกๆที่แยกมาอีกจานคือ คริสปี้ไรซ์ดีฟไฟล์กับผัก
แอบเดินมาส่องในครัวกันบ้าง ทีมงานแต่ละคนเอาจริงเอาจังสุดๆ รู้สึกได้ถึงพลังของเชฟที่หากจ้องมองใครเป็นพิเศษ คนนั้นจะต้องรีบปรุงอาหารหรือจัดการให้เรียบร้อยโดยด่วน
ผมสอบถามแจ๊คเกี่ยวกับประสบการณ์การทำงานในร้านอาหาร แจ๊คบอกว่าหากเป็นร้านอาหารมาตราฐานสูงๆ ทุกคนมีบทบาทสำคัญมากๆ ทั้งคนในครัว เชฟ หรือบริการทุกคนมีความสำคัญเท่ากันหมด แต่เชฟคือผู้ต้องูแลมาตราฐานและองค์ประกอบโดยรวมให้ออกมาดีที่สุด
แจ๊คเล่าว่าเสน่ห์ของห้องอาหารอีกอย่างคือการที่เชฟจะ เรียกคำว่า Service เซอวิส ก็คือเรียกบริกรที่อยู่ไกลให้ไปเสริฟอาหารที่โต๊ะแขก บางร้านอาหารก็จะตอบเชฟกลับว่า Oui Chef "อวี่ เชฟ" แปลว่า ครับ/ค่ะเชพ
บอกเลยว่าตอนนี้หิวสุดๆ
กลับมาที่โต๊ะก็มีขนมปังวางไว้ให้
อาหารจานแรกมาแล้วครับผม จานนี้เป็น ANTIPASTI ( ของทานเล่น )
ด้านบนคือ IL MANZO ( Beef Tartare seasoned with olive oil and lemon potato chips and italian "salsa verde " ราคา 580 บาท
ด้านล่างคือ L'ASTICE ( Lobster tail cooked in " court-bouillon "," panzanelle " and cold tomatoes soup ราคา 620 บาท
ส่วนตัวผมชอบจานนี้ เนื้อลอบสเตอร์นุ่มเด้งกำลังดี อร่อยมากๆ น้ำซุปก็ดีแทบจะลืมตัวยกซด
สำหรับเนื้อก็อร่อยนะ ทานคู่กับ Potato Chipsดีมาก
ในส่วนของ หมวดที่ 2 PASTE E ZUPPE
ด้านล่างคือ LE LINGUINE ( Linguine pasta sautreed with vongole clams, parsley and tomatoes concasse ราคา 580 บาท
อันนี้คือ I RAVIOLI ( Homemade ravioli stuffed with ricotta cheese and basil pesto ) แป้งนุ่มดีครับ แต่ส่วนตัวชอบ LE LINGUINE มากกว่า
ได้เวลาดื่มไวน์ละครับผม ก่อนที่ MAIN COURSE จะออก
หากทุกคนสังเกตุดีๆจะเห็นท่วงท่ากิริยาของบริกรเป๊ะมากๆ การเสิรฟไวน์เริ่มด้วยบริกร รินไวน์ลงบนแก้วหลักที่จะใช้เสริฟเราหลังจากนั้นเทไวน์ลงไปพร้อมเอียงและหมุนให้ไวน์สัมผัสทุกด้านของแก้วและหลังจากนั้นเททิ้งใส่แก้วอื่น คิดว่าน่าจะเป็นวิธีการคลีนแก้วหรือเป็นการทำให้กลิ่นไวน์ชัดขึ้น
เชฟ สเตฟาโน ไบอ็อกโค คอยดูแลอาหารทุกจานก่อนออก
MAIN COURSE พร้อมแล้ว
ด้านบนคือ L'AGNELLO ( Roasted lamb shoulder with rosemary sauce and gratinated vegetables ) จานนี้ยกให้เป็นพระเอกของค่ำคืนนี้เลยครับอร่อยที่สุด Lamb อร่อยไม่มีกลิ่นเลยครับ เนื้อนุ่ม ซอสอร่อยเข้มข้น จานนี้ถือว่าเป็นจานที่ราคสูงที่สุดด้วย 1580 บาท
จานนี้คือ L'OSSOBUCO DI VITELLO ALLA MILANESE เป็นเนื้อลูกวัว เนื้อนุ่มมากก
ปิดท้ายกันสวยๆด้วยเมนูของหวาน
IL TIRAMISU ทานคำแรกกลิ่นละมุนถูกใจคอกาแฟอย่างผมเลยราคา 380 บาท
อันนี้มาเหนือมากๆ ด้วยชื่อเมนูที่น่ากิน IL LIMONE ( Lemon foam, orange water ice and citrus salad ) สดชื่นมากๆตอนที่ทานเลท่อนโฟมและกัดโดนเนื้อเปลือกส้ม ราคา 320 บาท
และอันนี้คือ The Best IL CIOCCOLATO GUANAJA 70% เป็นดาร์คช็อกโกแลตที่อร่อยที่สุดในโลกมาพร้อมไอศกรีม ราคา 380 บาท
ปิดท้ายของวันนี้ด้วย PETIFFOURS มาเสริฟที่โต๊ะ ถือเป็นการจบการทานอาหารที่สวยงามของวันนี้
ต้องขอบอกตามตรงเลยว่าวันนี้เป็นมืออาหารที่ประทับใจมากๆ ตอนแรกผมเข้าใจผิดว่าร้านอาหารมิชลินต้องเป็นอาหารจานเล็กๆที่ผมเข้าไม่ถึง แต่วันนี้ความคิดผมเปลี่ยนไป นอกจากอาหารที่ดีอร่อยและผ่านกรรมวิธีมาอย่างดี เซอร์วิสเป็นเรื่องที่สำคัญมาก วันนี้ผมประทับใจในการบริการทุกนาทีของการทานอาหารผมสังเกตุในทุกๆอย่าง ทีมงานเอาใจใส่ดีมากๆ ถือว่าการมาทานอาหารในครั้งนี้คุ้มและและเป็นประสบการ Michelin ที่น่าจดจำ
ไม่ต้องบินไปทานถึงอิตาลี เค้าอุตส่าห์มาถึงไทยให้เราไปชิมแล้ว ลองไปสิครับ
สำหรับผู้ที่สนใจ สามารถสำรองโต๊ะได้นะครับ 8 -20 ธันวาคม ( วันที่ 11 และ 12 เต็มแล้ว ) ราคาอาหารอยู่ใต้รูปภาพ สามารถกดดูได้เลยครับ รายละเอียดเพิ่มเติมอ่านได้ที่ www.sripanwa.com หรือโทร +66 7637 1000 #sripanwa #villafeltrinelli